รีวิว Keychron K2 Non-Blacklight

หลังจากใช้ Magic Keyboard มานาน ก็รู้สึกว่ามันพิมไม่ค่อยสนุกเหมือน Blue Switch ที่ใช้อยู่อีกตัว เลยมองหาตัวเลือกอื่นที่รองรับระบบ Mac/iOS ได้ดี และเป็น Wireless เลยมาจบที่ Keychron และได้ของแถมคือใช้งานกับ Windows ได้ 100% อีกด้วย

สาเหตุที่เลือก Model K2 เพราะ Layout ใกล้เคียงกับ Magic Keyboard นั่นคือมี Function Keys และ Arrow Key แต่สิ่งที่ต่างกันมากเลยคือขนาด เพราะ K2 นั้นขนาดใหญ่ และหนักกว่า Magic Keyboard พอสมควร แต่ก็น่าจะพกพาง่ายกว่าพวก K4 หรือ K10 ที่ขนาดใหญ่กว่าพอสมควร เลยมาจบที่ K2 ครับ

ตัวนี้เป็นรุ่น Non-Blacklight, Red Switch, Aluminum Case และ Hot-swappable โดยเรื่องที่ดีกว่า K2V2 ตัวปกติ คือแบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นมาก จาก 240 ชม. (Backlit off) เป็น 570 ชม. แต่ขนาด และน้ำหนักก็เท่าเดิมที่ 317x129cm และ 794g

รูปจาก Keychron

ตัวเฟรมของรุ่นนี้จะเป็น Aluminum เหมือนยิงทรายมา ทำให้ผิวสัมผัสรู้สึกด้านๆ น่าใช้งาน และเป็นรอยนิ้วมือได้ยาก ด้านข้างเป็นปุ่มสำหรับปรับโหมด Off / Bluetooth / Cable แล้วแต่การเชื่อมต่อที่เราเลือกใช้งาน และปุ่มปรับ Layout ระหว่าง Mac/iOS กับ Windows/Android

ลืมบอกไปว่าในโหมด Bluetooth นั้น ตัวนี้สามารถต่อพร้อมกันได้ถึง 3 อุปกรณ์ และการสลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ก็ทำได้ง่ายมาก โดยการกด fn + 1/2/3 ก็สลับได้แล้ว ซึ่งทำได้รวดเร็วพอสมควร แทบจะไม่ต้องรอเลย

ส่วนของแถมที่มาในกล่องมีทั้งสาย USB Type-C, Keycap Puller, Switch Puller และ Keycap ของระบบ WIndows กับปุ่ม esc สีครีม ทำให้พร้อมถอดประกอบออกมาก Mod ได้สะดวกมาก

ส่วนตัวนี้เลือกมาเป็น Red Switch เพราะว่าต้องการเอาออกไปใช้ข้างนอกด้วย ซึ่งปกติผมนั้นใช้ Blue Switch มาตลอด พอเปลี่ยนเป็น Red Switch ก็รู้สึกว่ามันแตกต่างกันเยอะพอควร เพราะมันนุ่ม กดง่าย และเงียบกว่ามาก บางคนก็จะบอกว่า Red Switch ที่เป็น Linear และใช้แรงกดไม่เยอะมากเหมือนพวก Black Switch จะทำให้กดผิด หรือปุ่มลั่นได้ง่ายขึ้น เวลาที่พิมแล้วกดปุ่มเหลื่อมๆ กับปุ่มข้างๆ แต่เท่าที่ลองใช้มายังไม่เจอปัญหานี้ครับ

รูปจาก Keychron

อีกเหตุผลนึงที่เลือกใช้ Red Switch เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วเห็น Modder ที่เอา Switch มา Lube หรือ Mod อื่นๆ จะเลือกใช้พวก Linear กันมากกว่า Clicky บ้างก็บอกว่าพอเอา Blue Switch ไป Lube แล้ว มันจะเหนอะๆ ขึ้น และเสียความเป็น Clicky ไป (อันนี้ไม่เคยลองเองเหมือนกัน)

สิ่งนึงที่รู้สึกยังขาดไปในคีย์บอร์ดตัวนี้เลยคือ Keycap PBT เนื่องจากตัวนี้ให้มาเป็น Double-Shot ABS ถึงแม้มันจะดีกว่า ABS ก็ตาม แต่ผิวสัมผัสมันก็ยังไม่ดีเท่า PBT อยู่ดี รู้สึกว่ามัน Glossy กว่า และหากใช้ไปนานๆ ก็น่าจะมันขึ้นอีกด้วย

นอกจากตัวคีย์บอร์ดแล้ว ผมยังได้เคส Keychron Keyboard Carrying Case มาด้วย โดยทำขนาดพอดีของคีย์บอร์ดแต่ละขนาด K2/K4/K6/K8 เลย ซึ่งทำจาก canvas และ EVA plastic ให้ความรู้สึกแข็งแรง และน่าจะปกป้องคีย์บอร์ดได้ดี มาพร้อมกับการแบ่ง Partition เล็กๆ เอาไว้ใส่สาย USB และอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย แต่ข้อเสียคือขนาดมันใหญ่ไปหน่อย ถือเป็นกระเป๋าใบนึงได้เลย

สรุป

คีย์บอร์ดตัวนี้ ถึงแม้ราคาจะสูงหน่อย แต่ก็ค่อนข้างคุ้มค่ากับ Option ที่ได้มา ทั้ง Hot-swappable, Aluminum Frame, แบตเตอรี่ที่นานขึ้น และการที่รองรับทั้ง Mac/iOS/Windows/Android รวมไปถึงการต่อ Bluetooth ได้ถึง 3 เครื่อง และการเปลี่ยนระหว่างอุปกรณ์ก็ทำได้ง่ายมาก ติดอย่างเดียวเลยคือ ABS Keycap ซึ่งถ้าให้มาเป็น Double-Shot PBT เลย จะว่าคีย์บอร์ดตัวนี้สมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้